ไม่ต้องแสวงหาความว่าง
- วัดภาณุรังษี
- 31 ก.ค. 2566
- ยาว 3 นาที
จิตคือพุทธะ
อย่างเรียนกับหลวงปู่ดูลย์อัศจรรย์มากเลย หลวงพ่อไม่เคยเจอครูบาอาจารย์อื่นเหมือนหลวงปู่ดูลย์ เราเข้าไปกราบท่านบอก “อยากปฏิบัติ” ท่านยังไม่สอนหรอก ท่านจะนั่งสมาธิของท่านไปเกือบๆ ชั่วโมง บางคนก็ชั่วโมงกว่า ลืมตาขึ้นมาแล้วท่านสอน คนหนึ่งๆ ท่านสอนไม่กี่ประโยค แต่เราต้องเอามาทำต่อ มาปฏิบัติ บางอย่างที่ท่านสอน หลวงพ่อใช้เวลาย่อย 20 กว่าปี 21 ปี 20 ปีกว่า กว่าจะเข้าใจสิ่งที่ท่านบอก หรือธรรมะบางอย่าง ท่านเคยพูดให้ฟัง อย่างถ้าเคยฟังธรรมะหลวงปู่ดูลย์ จะได้ยินเรื่อง “จิตคือพุทธะ” หลวงพ่อเคยได้ยินท่านสอน “จิตคือพุทธะ” หลายครั้ง ยาวมาก แต่ท่านสอนไม่ผิดกันสักคำเดียว พูดกี่ทีๆ เหมือนเดิมเป๊ะเลย
“จิตคือพุทธะ” จริงๆ อยู่ในหนังสือคำสอนของฮวงโป เป็นส่วนหนึ่ง หลวงปู่ดูลย์ท่านเห็นว่า ท่านฮวงโปสอนอธิบายสภาวะของจิตใจในขั้นสุดท้ายไปแล้ว จิตพระอรหันต์เป็นอย่างไร ท่านฮวงโปอธิบายไว้ หลวงปู่ดูลย์ท่านพิจารณาแล้วบอก ไม่มีใครอธิบายได้อย่างนี้ ท่านเลยยืมคำของท่านฮวงโปมา อยู่ในเรื่อง “จิตคือพุทธะ” เราฟังทีแรก ท่านพูดให้ฟัง เราก็เข้าใจ “จิตคือพุทธะ” คิดว่าจิตผู้รู้ก็คือพุทธะ ค่อยภาวนาไปนานๆ ก็พบว่าความรู้ความเข้าใจมันเปลี่ยนไป
อยากรู้ว่า “จิตคือพุทธะ” เป็นอย่างไร ก็ไปอ่านเอาเอง แล้วเหมือนๆ จะเข้าใจ แต่รับรองว่าไม่เข้าใจหรอก เพราะเรายังไม่เคยเห็นสภาวะของพุทธะอันนั้น แล้วภาวนาไปจนวางธาตุวางขันธ์ได้ เห็นโลกธาตุนี้ว่าง เห็นรูปธรรมคือร่างกายอะไรอย่างนี้ ว่าง เห็นความว่างของโลก ของกาย จิตมันก็ว่าง ก็เป็นอันเดียวกัน ตรงนี้ในพระไตรปิฎกมีร่องรอยอยู่อันหนึ่ง คำสอนตรงนี้ คือมีคนหนึ่งไปถามพระพุทธเจ้าชื่อ โมฆราช ไปถามพระพุทธเจ้า โมฆราชเป็นคนเก่งมาก ฉลาดมาก เป็นลูกศิษย์พราหมณ์พาวรี
พราหมณ์พาวรีเดิมเป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล พออายุเยอะขึ้นก็ออกจากราชการ ลาออกไปตั้งสำนักอยู่นอกเมือง ก็มีลูกศิษย์เก่งๆ 16 ท่าน พอได้ข่าวว่ามีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ พราหมณ์พาวรีก็แต่งคำถาม 16 ข้อ ให้ลูกศิษย์คนละข้อ บอกให้ไปถามพระสมณโคดมดู ถามๆๆ ท่านก็ตอบทีละองค์ๆ ไป ก็บรรลุพระอรหันต์ไปเรื่อยๆ ยกเว้นองค์สุดท้าย องค์นี้ท่านเป็นหลานพราหมณ์พาวรี ท่านก็เป็นห่วง อยากเอาธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนนี้ ไปบอกพราหมณ์พาวรี องค์นี้เลยไม่ถึงพระอรหันต์ ก็ไปบอก เอาธรรมะไปบอกพราหมณ์พาวรี พราหมณ์พาวรีได้พระอนาคามี
ในธรรมะ 16 ข้อ พี่ใหญ่ในทีมหนึ่งชื่ออชิตะ ก็ได้ธรรมะ ได้คำถามมาข้อหนึ่งก็เป็นเบอร์ 1 ก็เลยถามก่อน พอถามเสร็จแล้วโมฆราชจะถาม นี่เป็นเบอร์ 2 Number 2 พระพุทธเจ้าบอกเอาไว้ก่อน ตอบคนอื่นก่อน โมฆราชขยับจะถามหลายรอบ พระพุทธเจ้าก็บอกเอาไว้ก่อน จนถึงคนที่ 15 ถึงได้ถาม ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ให้ถามทันที เพราะใจยังฟุ้งอยู่ ใจยังคิดอุตลุดอยู่ อยากหาคำตอบ อยากได้คำตอบ ใจอยากเยอะ พระพุทธเจ้าท่านก็ทรมาน ยังไม่ให้ถาม บางทีหลวงพ่อก็ใช้วิธีนี้เหมือนกัน บอกพวกเราไม่ต้องมาถามหรอก อย่าเพิ่งถามเลย ฟังไปก่อน พอถึงเวลาที่เหมาะสมก็ถามได้
ท่านโมฆราชถามพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เราจะตามเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงมองไม่เห็น” แค่ฟังคำถามพวกเราก็งงแล้ว พราหมณ์พาวรีเก่งจริงๆ ตั้งคำถามให้ลูกศิษย์มาถาม ลูกศิษย์ได้คำตอบ ลูกศิษย์เป็นพระอรหันต์ได้ เก่งมากเลย ตัวท่านแก่มาก ท่านมาด้วยตัวเองไม่ไหว ก็เลยส่งลูกศิษย์มาถาม “บุคคลเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงมองไม่เห็น” พระพุทธเจ้าตอบว่า “บุคคลเห็นโลกเป็นความว่าง มัจจุราชจะมองไม่เห็น” ตรงที่มัจจุราชไม่เห็นนั้น คือสภาวะที่พ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย สิ้นเชิงแล้ว ฉะนั้นคนที่มัจจุราชมองไม่เห็น คือพระอรหันต์นั่นล่ะ พระอรหันต์เห็นโลกเป็นอย่างไร เห็นโลกว่าง “เห็น” ไม่ได้คิดให้โลกว่าง ไม่ได้น้อมจิตให้เชื่อว่าโลกว่าง ไม่ได้น้อมจิตจงใจเห็นว่าโลกว่าง แต่เห็นเฉยๆ ว่าโลกว่าง
ทำอย่างไรเราจะเห็นโลกว่าง เราก็เจริญวิปัสสนากรรมฐาน เรียนรู้รูปธรรม นามธรรมทั้งหลาย สติระลึกรู้รูป จิตตั้งมั่น ปัญญาก็จะเกิด รูปนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สติระลึกรู้นามด้วยจิตที่ตั้งมั่น ก็จะเห็นนามธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สิ่งที่เรียกว่า “โลก” ก็คือรูปนาม ไม่ใช่แค่โลกข้างนอกอย่างนี้ สิ่งที่เรียกว่า “โลก” คือรูปธรรมกับนามธรรม ถ้าเราเห็นรูปธรรมก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ นามธรรมก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตมันก็จะสลัดคืนรูปธรรมนามธรรมให้โลกไป หมดความยึดถือ หมดความยึดถือแล้ว คราวนี้มันจะเห็นโลกนี้ว่าง
ทางปริยัติเขาก็พยายามอธิบายว่า มันว่างอย่างไร บอกมันว่างจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา พูดถูกไหม ก็ถูก แต่มันไม่ถึงใจ เห็นโลกว่าง ตรงคำว่า “เห็น” ก็น่าดูแล้ว จิตของเราจะมีคุณภาพเห็นโลก คือเห็นรูปนามกายใจนี้ว่างได้ จิตนั้นต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาสมบูรณ์ ถึงจะเห็นได้ โดยเฉพาะถ้าไม่มีปัญญา จะเห็นรูปนามนี้ กายใจหรือโลกนี้ว่าง มันเห็นไม่ได้ มันเห็นแต่ว่ามีกับไม่มี มีกับไม่มียังไม่ว่าง มีกับไม่มียังไม่ถือว่าว่าง ยังมีสิ่งที่เป็นคู่ สิ่งที่เป็นคู่ก็คือ ระหว่างความมีกับไม่มี ว่างนั้นไม่มีคู่ เป็นสภาวะรวดเดียวเลย ไม่มีคู่
พูดถึงว่างๆ หลายคนก็เมาเรื่องว่าง ครูบาอาจารย์ชั้นเลิศองค์หนึ่งของยุคเลย พระชั้นเลิศของกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ที่แตกฉานมากมี 2 องค์ องค์หนึ่งคือท่านพุทธทาส องค์หนึ่งคือท่านอาจารย์ประยุทธ์ ตอนนี้ท่านเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ 2 องค์นี้เป็นเพชรน้ำเอกจริงๆ เรื่องความรู้ความเข้าใจ แตกฉานมาก ท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านพูดเรื่องความว่างไว้เยอะเลย พูดถึงความว่างๆ คนอ่านธรรมะของท่าน หรือฟังธรรมะของท่านแบบไม่รอบคอบ ก็พยายามน้อมจิตคิดไปถึงความว่างบ้าง บางทีก็น้อมจิตให้มองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความว่างบ้าง ตราบใดที่จิตยังทำงาน หรือน้อมจิตไปทำงาน ให้มันคิดบ้าง ให้มันมอง ให้ดูความว่าง มองรูปนามให้เห็นความว่าง จิตยังมีการกระทำอยู่ เมื่อจิตไม่ว่าง โลกก็ไม่ว่าง
เพราะฉะนั้นการคิดถึงความว่าง ไม่มีประโยชน์อะไร เหมือนอย่างเราอ่านหนังสือเซนของท่านเว่ยหล่าง ท่านฮวงโป หนังสือดีไหม ดี แต่อ่านแล้วเมาความว่าง นั่นก็ว่าง นี่ก็ว่าง ว่างอย่างนั้นมันไม่ว่างจริง มันว่างที่คิดๆ ขึ้นมา ปรุงๆ ขึ้นมา น้อมใจเชื่อขึ้นมา เราจะเห็นโลกนี้ว่าง เห็นรูปนามนี้ว่างได้จริง ต้องเจริญวิปัสสนากรรมฐานไป ดูความจริงของกาย ดูความจริงของจิตใจไป ดูไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นกายนี้ก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิตก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พอเห็นมันก็วาง เห็นไหม เพราะเห็นตามความเป็นจริงก่อน ก็เลยปล่อยวาง เพราะวางแล้วมันถึงว่าง ถ้าไม่วาง มันไม่ว่าง
เพราะฉะนั้นเราจะไปหาความว่าง ทั้งๆ ที่ยังไม่ปล่อยวาง หาไม่เจอหรอก เพราะว่าแค่จะน้อมจิตเข้าหาความว่าง มันก็คือความยึดถือแล้ว ยึดถืออยากให้จิตนี้พ้นทุกข์ อยากให้จิตนี้ดี เพราะฉะนั้นถ้าเราจะให้เราเห็นความว่างได้จริงๆ ไม่ใช่คิดเอา คิดเอาแล้วจะเมาความว่าง ไอ้โน่นก็ว่าง ไอ้นี่ก็ว่าง แล้วก็เหลือกูอันเดียวไม่ว่าง มีบางคนก็สอนลูกศิษย์ มี ให้น้อมจิตอยู่ในความว่าง ไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุง ไม่แต่ง น้อมจิตไปอยู่ความว่างๆ ไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุง ไม่แต่ง ตรงที่น้อมไปนั้นก็ไม่ว่างแล้ว ตรงที่จงใจไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุง ไม่แต่ง อันนั้นล่ะคือความปรุงแต่ง ชื่ออเนญชาภิสังขาร เป็นความปรุงแต่ง
เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องพยายามทำความว่างให้เกิดขึ้น ดูความจริงของรูปธรรม ดูความจริงของนามธรรมไป พอเราเห็นรูปธรรมตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตก็หมดความยึดถือในรูปธรรม เราเห็นความจริงของจิตใจ จิตก็หมดความยึดถือจิตใจ จิตใจไม่ว่าจะสุขทุกข์ ดีชั่ว จิตรู้ จิตหลง จิตเห็นรูป จิตได้ยินเสียง ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัสทางกาย ได้คิดนึกทางใจ ล้วนแต่ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์เหมือนๆ กันหมด เห็นอย่างนี้ก็ปล่อยวางจิตได้ ถ้าปัญญาแก่รอบ เราก็จะปล่อยวางรูปนามได้ พอปล่อยวางรูปธรรมนามธรรมได้ เราจะเห็นโลก หรือเห็นรูปธรรม นามธรรม ทั้งภายในภายนอก มันเป็นอันเดียวกันไปหมดแล้ว ร่างกายเรากับโลกข้างนอกก็เป็นอันเดียวกัน ความรู้สึกนึกคิดอะไรก็เป็นเรื่องโลกๆ
“จิตไม่ใช่จิต แต่ก็ไม่ใช่ไม่ใช่จิต”
ขันธ์ 5 เป็นของโลก แล้วจะเห็นขันธ์ 5 ทำงานไปเรื่อยๆ เป็นแค่ปรากฏการณ์ของรูปธรรม ปรากฏการณ์ของนามธรรม ภาวนาไปเรื่อยเราก็เห็น โลกเป็นแค่ปรากฏการณ์เท่านั้นเอง ที่ไหลไปเรื่อยๆ ไหลผ่านไป ไม่มีจุดตั้งต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด ปรากฏการณ์ของโลกเป็นอย่างนั้น ไหลไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดตั้งต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด เกิดดับหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีที่สิ้นสุดเลย นั่นล่ะคือตัวสังสารวัฏ เราจะเห็นโลกเป็นแค่ปรากฏการณ์ ที่ไหลไปเรื่อยๆ เหมือนความฝันเท่านั้นเอง ถ้าเราเห็นอย่างนี้ เราไม่ต้องแสวงหาว่าจิตเป็นอย่างไร ถ้าเราแสวงหาจิตอีก ความไม่ว่างก็จะเกิดขึ้น
ฉะนั้นตรงที่เราแตกหักลงไปกับรูปนาม ปล่อยวางรูป ปล่อยวางนามได้ เราไม่ต้องแสวงหานิพพานตรงไหนแล้ว โลกก็คือความปรุงแต่ง นิพพานคือสภาวะที่เหนือความปรุงแต่ง พ้นจากความปรุงแต่ง ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ตรงนั้นล่ะถึงจะเรียกว่าว่าง โลกนั้นว่างแบบที่แบบหนึ่ง แล้วจิตที่พ้นโลกมันว่างอีกแบบหนึ่ง ว่างกันไม่เหมือนกัน โลกนั้นยังมีความมี มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้ มันว่างไม่มีตัวตน บุคคลเราเขาอะไร เป็นปรากฏการณ์ที่ไหลไปเรื่อยๆ ส่วนจิตที่พ้นโลกไป มันว่างไปอีกแบบหนึ่ง มันพ้นจากความปรุงแต่งสิ้นเชิง ไม่ต้องกำหนดหมาย ว่ามันมีอยู่ หรือมันไม่มีอยู่
ฉะนั้นในหนังสือจิตคือพุทธะ ที่หลวงปู่ดูลย์พูด มีอยู่ประโยคหนึ่งน่าฟัง บอก “จิตไม่ใช่จิต แต่ก็ไม่ใช่ไม่ใช่จิต” เราฟังแล้วเหมือนกับเล่นลิ้น เหมือนกับสำนวนหวือหวา ฟังแล้วน่าเอ็นดู น่าฟัง เมื่อก่อนหลวงพ่อฟังท่านพูด ได้ยินด้วยตัวเอง ท่านสอน เราไม่เข้าใจ “จิตไม่ใช่จิต แต่ก็ไม่ใช่ไม่ใช่จิต” ตกลงมันเป็นจิต หรือมันไม่ใช่จิต จิตที่มันพ้นจากความปรุงแต่งสิ้นเชิง มันจะเป็นอย่างนั้น มันจะรู้สึกอย่างนั้น เราไปดูหนังสือจิตคือพุทธะ มันคือคำอธิบายสิ่งที่หลวงปู่ดูลย์ท่านเรียกว่า “จิตหนึ่ง” คือคำอธิบายสิ่งที่ท่านพุทธทาสท่านเรียกว่า “จิตเดิมแท้” เว่ยหล่างเรียก “จิตเดิมแท้” ฮวงโปเรียก“จิตหนึ่ง” หลวงปู่เทสก์เรียกตัวนี้ว่า “ใจ” สมเด็จพระญาณสังวรฯ เรียกสิ่งนี้ว่า “วิญญาณธาตุ” หลวงตามหาบัวเรียกสิ่งนี้ว่า “ธรรมธาตุ” หลวงปู่บุดดาเรียกสิ่งนี้ว่า “ใจเดียว”
คำพูดหลากหลาย ก็พูดถึงเป็นบัญญัติขึ้นมา เพื่อจะหมายถึงสภาวะอันเดียวกันนี้ สภาวะนั้นว่าง เพราะพ้นจากความปรุงแต่งสิ้นเชิง ในขณะที่โลกคือรูปธรรมนามธรรมว่าง ทั้งๆ ที่มีความปรุงแต่งอยู่ มันว่างเพราะเราไม่ได้เข้าไปยึดไปถือ ว่างคนละแบบกัน ต้องภาวนา เสี่ยงทุ่มเทไป ตายเป็นตาย นิพพานอยู่ฟากตาย ครูบาอาจารย์สอนอย่างนี้ แล้วมันเรื่องจริงเลย ไม่ใช่พูดเล่นๆ เลย ยังรักตัวกลัวตายอยู่ ไม่เห็นหรอก
อย่างบางองค์ที่ท่านเดินทางกายานุปัสสนา ท่านเห็นกายของท่าน ตอนนั้นยังไม่พ้น ท่านเห็นร่างกายนี้มันทุกข์ ทุกข์เหมือนภูเขาลงมาบดมาขยี้เลย ทับลงมาขยี้ๆ ท่านที่มาทางจิต เจริญจิตตานุปัสสนา ก็เห็นจิตนั้นมันเป็นตัวบรมทุกข์ มันทุกข์เหมือนถูกภูเขาลูกใหญ่ๆ ลงมาบด ไม่ใช่ทับเฉยๆ แต่บด เหมือนโม่ โม่ ใครเคยเห็นโม่หินไหม อย่างนั้นล่ะ มันบดอย่างนั้นเลย คือมันทุกข์ ในสภาวะที่ทุกข์ ไม่ว่าจะดูมาทางกายหรือทางจิต มันจะเห็นขันธ์มันทุกข์จริงๆ ถ้าใจอ่อนกลัวตาย จิตก็จะถอนออกจากสมาธิ ไม่เดินต่อแล้ว ถ้าไม่กลัวตาย ตายเป็นตาย วัฏสงสารจะถล่มลง วัฏสงสารมันหมุนอยู่กลางอกเรา มันจะถล่มทลายลงไป แล้วก็เห็นสังสารวัฏข้างนอก มันเป็นปรากฏการณ์ เลื่อนไหลไปเรื่อยๆ ไปตามเหตุปัจจัยของมัน ส่วนตัวธาตุรู้มันว่าง มันว่างเพราะไม่มีความปรุงแต่ง รูปธรรมนามธรรมทั้งหลายมันว่าง เพราะไม่ได้เข้าไปยึดถือ ไม่ได้เข้าไปสำคัญมั่นหมาย
เพราะฉะนั้นเราได้ยินคำว่า “ว่างๆ” อย่ามาว่าง พยายามรู้ พยายามดูกายอย่างที่กายเป็น ดูจิตอย่างที่จิตเป็นไป เดี๋ยววันหนึ่งก็จะเห็น กายก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ สิ่งที่มันไม่เที่ยง มันก็เป็นทุกข์ สิ่งที่มันเป็นทุกข์ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดถือ จิตมันก็หมดความยึดถือ มันก็เป็นอิสระขึ้นมา ไม่ต้องโหยหาความว่าง ไม่ต้องแสวงหาความว่าง ยิ่งแสวงหา ยิ่งไม่เจอ เรียนรู้กาย เรียนรู้ใจ ให้เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของกายของใจไป ถึงวันที่วัฏฏะมันถล่มลงไป เดี๋ยวมันว่างเอง กายใจก็คือตัวโลก ว่าง ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เป็นปรากฏการณ์เกิดดับ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย มีเกิด มีดับ
โลกเป็นของมีเกิดมีดับ ส่วนธรรมแท้ ธรรมธาตุ มันไม่เกิดไม่ดับ มันเป็นธาตุ บางทีท่านเรียกอมตธาตุ อมตธรรม ถ้าเห็นตัวนี้เราก็รู้ว่า ที่สุดของทุกข์อยู่ที่นี่ล่ะ ตรงที่พ้นความปรุงแต่งสิ้นเชิง ฉะนั้นตอนที่มีพระองค์หนึ่งที่ท่านไปดูศพ ดูเขาเผาศพ แล้วท่านก็อุทาน “อะนิจจา วะตะ สังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เตสัง วูปะสะโม สุโข สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง มีความเกิดแล้วก็ดับไป สังขารทั้งหลาย สงบเสียได้เป็นสุข” สังขารก็คือความปรุงแต่ง ฉะนั้นดับความปรุงแต่งลงไป ก็ถึงพระนิพพานตรงนั้น ไม่ต้องแสวงหาพระนิพพาน ยิ่งแสวงหา มีตัณหาอยากเห็นพระนิพพาน อยากได้พระนิพพาน เกิดการกระทำ ก็คือการดิ้นรนปรุงแต่ง ก็สร้างภพ สร้างชาติ สร้างทุกข์ขึ้นมา ยิ่งห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
Comments